หมอฟันป่วยมะเร็ง ก่อนจากไปในวัยยังสาว
เปิดเรื่องเศร้า ของหมอฟันป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้าย สู้สุดใจยื้อชีวิตอยู่ต่อไปเกือบ 3 ปี พี่ชายเผยน้องใช้เวลาเตรียมตัวและเตรียมใจ จนปากบอกพร้อมจะไป แต่สุดท้ายก็รับไม่ไหวอยู่ดี เป็นไวรัลที่คนให้ความสนใจพร้อมส่งกำลังใจให้จำนวนมาก (20 พฤศจิกายน 2564) เมื่อเฟซบุ๊ก Tom Tanadol ได้มีการเปิดเผยเรื่องราวของน้องสาวที่ล้มป่วยเป็นมะเร็งปอด
ระยะสุดท้าย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 6 เดือนหลังจากที่รู้ตัว แต่ทว่า เจ้าตัวกลับยังมีชีวิตอยู่ได้ต่อเกือบ 3 ปี เพราะความใจสู้ต่อการเข้ารับการรักษาตัว ก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา พี่ชายผู้เสียชีวิตเล่าว่า ตลอดระยะเวลาที่เหลืออยู่ คุณอร น้องสาวที่ป่วย ได้มีเวลาเตรียมตัวทั้งเรื่องพินัยกรรม ทั้งเรื่องการเขียนสมุดเบาใจสั่งเสียร่ำลา ทั้งการเลือกแบบโลงศพ การฝึกปฏิบัติภาวนา การขออโหสิและให้อภัยคนที่เคยขุ่นเคือง แต่แม้เจ้าตัวจะบอกว่าพร้อมจะจากไปแล้ว
แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ทำใจจากไปไม่ได้อยู่ดี โดย 2 สัปดาห์ก่อน อรถูกส่งเข้า ICU มะเร็งลามไปทั่วตัว หมอเจาะใส่สายทั่วร่างกาย อรเจ็บปวดมากขนาดมอร์ฟีนก็เอาไม่อยู่ อรหายใจลำบากเพราะมะเร็งกินปอดเกือบหมด หมอต้องให้ออกซิเจน แต่ที่แย่คือร่างกายมันไม่หลับ ยานอนหลับเอาไม่อยู่ อรมีสติรับรู้เกือบตลอดเวลายังคุยได้แบบเบลอ ๆ
วันก่อนหมอให้ตามญาติมาเพื่อสั่งเสีย เพราะอรพร้อมไปตลอดเวลา จากนั้นหมอแนะนำว่าควรให้คนไข้ Drip ยาเพื่อค่อยๆ หลับและจากไปจะได้ไม่ทรมาน ซึ่งการ Drip ยานอนหลับหรือยาระงับประสาท เป็นการไปกดประสาทเพื่อให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บจะได้หลับและจากไปอย่างสงบ ไม่ใช่การหยุดหรือแทรกแซงกระบวนการทำงานของร่างกาย ไม่ถือเป็นการฆ่าตัวตายหรือการุณยฆาต
อรเป็นหมอฟัน อรเข้าใจขั้นตอนทางการแพทย์ดีแสดงว่าอรก็น่าจะยอมรับได้ อย่างที่บอก... สมองกับจิตมันคนละส่วนกัน เพราะพออรรู้ว่าหมอแนะนำให้ Drip ยา อรกลับร้องไห้ไม่อยากทำ อรยังไม่อยากไป อรขอเวลาทำใจ คิดดูทั้ง ๆ ที่เจ็บทรมานขนาดนี้ สะลึมสะลือตลอดเวลา แต่จิตข้างในมันก็ยังไม่ยอม มันยึด มันหวงกาย เพราะเป็นธรรมชาติของจิตมนุษย์ทุกคนที่ต้องหวงกายเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์
ตอนกลางคืนชั่วขณะหนึ่งผมมีโอกาสอยู่กับน้องอรสองคนในห้อง ICU อรถามเศร้า ๆ ว่า อรจะอยู่บนโลกนี้วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วเหรอพี่ทอม... พรุ่งนี้อรค่อยให้คำตอบได้มั้ยอะ
ในทางพุทธศาสนา เราเชื่อกันว่าจิตสุดท้ายก่อนตายเป็นสิ่งสำคัญมาก ตอนอรฝึกภาวนาใหม่ ๆ ผมกับอ้นก็บอกว่าครูบาอาจารย์ท่านบอกฝึกไว้เพื่อจะได้เอาไว้ใช้ก่อนตาย เพราะตอนร่างกายจะแตกดับ เวทนาความเจ็บปวดจะแรงกล้ามาก ไหนจะเจ็บปวด ไหนจะคนมารุมล้อม ไหนจะห่วงนู่นนี่นั่นสารพัด จิตก็จะฟุ้งไม่สงบและเศร้าหมอง จะดีกว่ามั้ยหากเราฝึกวางได้เหมือนซ้อมก่อนตาย เพราะเมื่อต้องตายจริง ๆ จิตจะได้วางได้
อรฝึกภาวนาฝึกซ้อมก่อนตายมาเป็นปี ถึงเวลาจริง ๆ อรยังบอกผมว่า เอาเข้าจริงมันยากมาก ๆ เลยนะพี่ทอมที่จะมีสติบอกว่าวาง... มันเจ็บ จนวันรุ่งขึ้นอรยอมรับ แต่ขอไม่ใช่ที่ห้อง ICU อรขอ 3 ข้อ คือข้อแรก ขอเป็นห้อง VIP ที่มีส่วนแยกระหว่างห้องผู้ป่วยกับห้องรับแขก
ข้อสอง ขอเพื่อนฝูง - ญาติพี่น้อง ให้อยู่แต่ในห้องรับแขกและปิดประตูห้ามร้องไห้ให้ได้ยิน ข้อสาม ขออรอยู่กับหมอเพียงสองคน ห้ามมีคนมาจับมือ ห้ามมีคนมารุมล้อมหรือมีคนมาพูดคุยสั่งเสียอะไรอีก อรอยากจากไปอย่างสงบเงียบ ๆ คนเดียว ตลอดเวลาตั้งแต่ห้อง ICU ย้ายลงมาห้อง VIP แม้นจะสะลึมสะลือเพราะฤทธิ์ยา แต่อรยังคุยรู้เรื่องยังคงครองสติได้ดีและมีกำลังใจที่ดี
การ Drip ยามี 3 steps หมอจะให้ทางสายยาง ปกติผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้แค่ Step1 ก็จะหลับไม่รู้ตัวแล้วก็จากไป แต่อาจเพราะอรสติดีมากยังรู้ตัว ผ่านไปหนึ่งคืนหมอเลยให้ Step 2 แต่สุดท้ายอรขอให้พี่เหลียงสามีมายืนข้างเตียงคนเดียวและขอให้จับมือเป็นเพื่อนไปเรื่อย ๆ ส่วนเรอิ ลูกสาว อรขอให้มาหลังอรจากไปแล้วเพราะกลัวเรอิร้องไห้ อรไม่อยากพะว้าพะวัง
ฝนตกหนักตั้งแต่เมื่อวาน ต้นหางนกยูงฝรั่งเริ่มแตกดอกส้ม-เหลือง-แดง ตามริมทาง ที่โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2564 เวลา 16.47 น. น้องหมออรก็ได้ออกเดินทางไกลและจากไปอย่างสงบในวัย 42 ปี ทั้งนี้ เรื่องราวของคุณอรหลังมีการเผยแพร่ออกไปก็มีทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จักเข้ามาแสดงความเห็นจำนวนมาก พร้อมมอบกำลังใจให้เจ้าของโพสต์และครอบครัวคุณอร และขอให้คุณอรไปสู่สุคติ